วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

[ถอดเทป อาจารย์ทองธาร เหลืองเรืองรอง ผู้บรรยายเนติบัณฑิต ภาค 2 ป.วิ.พ.  ปี 2553 สมัย 63]
ผลของการทิ้งฟ้องอยู่ในมาตรา 174 ผลของมันอยู่ที่มาตรา 176, 132 ให้อำนาจศาลสั่งจำหน่ายคดี, 246ในชั้นอุทธรณ์มีการนำเรื่องทิ้งฟ้องมาใช้ในชั้นอุทธรณ์, 247 ทิ้งฟ้องในชั้นฎีกาก็นำบทบัญญัติเรื่องทิ้งฟ้องมาใช้
มาตรา 174 บัญญัติการทิ้งฟ้องไว้ 2 กรณีคือ
1.โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายเรียกให้แก้คดีแก่จำเลย และไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่นว่านั้น ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคำฟ้อง ตราบใดที่ส่งหมายให้จำเลยไม่ได้คดีจะไม่ก้าวหน้า
ในทางปฏิบัติโจทก์จะวางค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่จะไม่ไปนำส่งหมายกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจมีปัญหาถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำส่งให้จำเลยได้ เพราะเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลว่าไม่สามารถนำส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยได้ ศาลจะสั่งว่าให้รอโจทก์แถลงว่าโจทก์จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร(ศาลสั่งให้โจทก์มาแถลงภายในกำหนด5วันนับแต่วันส่งไม่ได้) เมื่อโจทก์ไม่ได้ไปนำส่งหมายเรียกให้จำเลยพร้อมพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ทราบว่าส่งหมายไม่ได้ โจทก์เลยไม่ได้มาแถลงว่าส่งไม่ได้แล้วจะแก้ไขอย่างไร แต่กฎหมายถือว่าโจทก์ต้องทราบ จึงเป็นเหตุให้โจทก์ทิ้งฟ้องตามมาตรา 174 (2)
ในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา โจทก์อุทธรณ์หรือโจทก์ฎีกา (โจทก์หรือจำเลยที่แพ้ในศาลชั้นต้น หรือ ศาลอุทธรณ์ และอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือ ศาลอุทธรณ์) ศาลรับอุทธรณ์หรือรับฎีกา และจะสั่งให้ผู้อุทธรณ์หรือผู้ฎีกานำส่งสำเนาอุทธรณ์หรือสำเนาฎีกา (ในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาไม่มีการออกหมายเรียก จึงไม่มีนำส่งหมายเรียก อย่างมากที่สุดจะออกเป็นหมายนัด) เพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าฝ่ายที่แพ้เขายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หากฝ่ายที่ชนะประสงค์จะยื่นคำแก้อุทธรณ์หรือคำแก้ฎีกา ก็ให้ยื่นคำแก้ฎีกาภายใน 15 วันนับแต่ได้รับสำเนาอุทธรณ์หรือสำเนาฎีกา ถ้าผู้อุทธรณ์หรือผู้ฎีกาไม่มีมาติดต่อให้นำส่งสำเนาอุทธรณ์หรือฎีกา ตามมาตรา 174 (1) แต่เป็นการทิ้งฟ้อง ตามมาตรา 174(2)
การยื่นคำฟ้องแบบที่มีการออกหมายเรียก 174(1)
1.ยื่นคำฟ้องในศาลชั้นต้น
2.จำเลยที่ฟ้องแย้งมาในคำให้การ
3.คดีร้องขัดทรัพย์ เพราะว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ศาลที่รับคำร้องขัดทรัพย์ออกหมายเรียกไปยังเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ตกเป็นจำเลยในคดีร้องขัดทรัพย์ให้มาแก้คดีเพราะกระบวนพิจารณาร้องขัดทรัพย์ มาตรา 288 ให้ดำเนินคดีอย่างธรรมดา ถ้าผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มาร้องขอให้มีการส่งหมายเรียกภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ตนยื่นคำฟ้องเหล่านั้นได้ชื่อว่าทิ้งฟ้อง ศาลก็สั่งจำหน่ายคดีได้
มาตรา 174 (2) การเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีมีกรณีใดบ้าง หน้าที่ของโจทก์
1.เมื่อยื่นฟ้อง โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือเสียไม่ครบ เพราะศาลสามารถสั่งให้เอาค่าธรรมเนียมมาเสียให้ครบตามมาตรา 18 ถ้าโจทก์ไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียม ศาลจะสั่งไม่รับฟ้อง แต่หากศาลพลั้งเผลอสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไม่ครบ ศาลก็จะบังคับให้มาเสียโดยใช้มาตรการเรื่องทิ้งฟ้อง
2.กรณีส่งหมายเรียกให้จำเลยไม่ได้ เช่น ที่อยู่ผิด โจทก์ต้องแถลงว่าที่ส่งไม่ได้เพราะอะไร และจะแก้ไขอย่างไรต่อไป ถ้าที่อยู่ไม่ผิดโจทก์ต้องมายืนยัน ศาลจึงจะสั่งปิดหมาย ทางปฏิบัติ ศาลจะสั่งว่า หากส่งไม่ได้ให้โจทก์มาแถลงภายในห้าวันนับจากวันที่ส่งไม่ได้ หากโจทก์ไม่มาแถลงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องวิธีป้องกันความผิดพลาดต้องคอยตามผลกับเจ้าหน้าที่
3.การไม่นำส่งหรือการไม่แถลงในเรื่องของคำฟ้อง คำร้องขอถอนฟ้อง ศาลจะให้โจทก์ส่งคำร้องไปยังจำเลย ถ้าเพิกเฉยในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องการทิ้งฟ้อง แต่ศาลจะถือว่าโจทก์ไม่ติดใจขอถอนฟ้อง หรือโจทก์ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล การไม่นำส่งสำเนาคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแก่จำเลยเป็นเพียงไม่ติดใจขอยกเว้นค่าธรรมเนียมซึ่งศาลจะยกคำร้อง เพราะคำร้องเหล่านี้ไม่ใช่คำคู่ความเหมือนคำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกา
กรณีคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ถ้ามีเหตุที่ศาลจะงดคดีแพ่งไว้ก่อนเพื่อรอผลคดีอาญา ศาลมักจะสั่งโจทก์ว่าถ้าคดีอาญาพิพากษาแล้วให้โจทก์แถลงผลเพื่อศาลจะได้นำคดีแพ่งมาพิจารณาต่อไป การที่ศาลสั่งให้โจทก์พอรู้ผลคดีอาญาให้มาแถลงในห้าวันนับแต่คดีอาญามีคำพิพากษา
กรณีที่ให้โจทก์ไปร่วมชี้เพื่อทำแผนที่พิพาท ศาลไม่ได้เปิดช่องเลือกปฎิบัติ ผู้พิพากษาบางท่านเปิดทางเลือกให้โจทก์ว่า ถ้าไม่ไปถือว่าไม่ติดใจถือว่ายอมรับความถูกต้องของแผนที่นั้น
แต่การไม่ดำเนินการบางเรื่องที่มีกฎหมายเฉพาะเช่น ในวันสืบพยาน โจทก์ไม่ไปศาลถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ผลก็คือถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาไม่ใช้เรื่องทิ้งฟ้อง
เรื่องชี้สองสถาน กฎหมายบัญญัติให้ศาลชี้สองสถานลับหลังโจทก์ได้ไม่เป็นเหตุอุปสรรคให้คดีหยุดนิ่งอยู่กับที่ ถือว่าโจทก์ได้ทราบโดยชอบแล้ว
การไม่ดำเนินการซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ทิ้งฟ้องจนศาลต้องสั่งให้จำหน่ายคดีต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1.ศาลได้มีคำสั่งสั่งโจทก์แล้ว การสั่งต้องโดยมีอำนาจ เช่น การสั่งให้ถอนฟ้องในบางข้อหาเพราะฟ้องฟุ้มเฟือย การถอนฟ้องเป็นสิทธิไม่ใช่หน้าที่สั่งไม่ได้ แต่ถ้าโจทก์ตกลงกับจำเลยว่าถ้าจำเลยใช้หนี้ครบเมื่อไหร่โจทก์จะถอนฟ้อง อันนี้เป็นหน้าที่แล้วครับ ในเมื่อจำเลยผ่อนใช้หนี้ให้โจทก์ครบแล้ว ก็เกิดหน้าที่แก่โจทก์ๆไม่ถอนฟ้อง เช่นนี้ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีเป็นทิ้งฟ้อง
ทำนองเดียวกัน การส่งสำเนาอุทธรณ์ในคดีอาญา มาตรา 200 แทนที่ศาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปส่งเอง ศาลสั่งให้โจทก์นำส่ง ถ้าโจทก์ไม่นำส่งจะสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ได้ เพราะ กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้ศาลมีหน้าที่ในการส่ง
2.ต้องแจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบโดยชอบแล้ว บางกรณีโจทก์ไม่มาดำเนินการตามคำสั่ง จริงๆไม่รู้แต่ทางกฎหมายถือว่ารู้ สถานการณ์ใดถือว่าทราบมี 3 แบบ
2.1 แจ้งคำสั่งขณะที่ศาลออกนั่งพิจารณา แสดงว่าคดีนั้นต้องมีวันนัดแล้วศาลรอไว้สั่งในวันนัด พอถึงวันนัดคู่ความมาศาลๆมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาเช่น ในวันนัดศาลบอกว่าสืบพยานโจทก์เสร็จหนึ่งปาก โจทก์ขอเลื่อนไปสืบในนัดต่อไป อนึ่ง ตรวจสำนวนแล้วพบว่าโจทก์เสียค่าธรรมเนียมขาดไปสองพันบาท จึงให้โจทก์มาวางศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันนี้ โจทก์ได้ลงชื่อในกระบวนพิจารณา ถือว่าโจทก์ทราบแล้วไม่มีข้อแก้ตัว กรณีที่ตัวโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาในวันนัดแต่ผู้รับมอบฉันทะหรือเสมียนมาแทนเช่นมาเพื่อฟังคำสั่งอย่างใดๆ มาเพื่อขอเลื่อนคดี มาเพื่อมายื่นคำร้องคำขออย่างใดๆ แล้วแต่ว่าตัวความหรือทนายความมอบอำนาจ พอถึงวันนัด ศาลออกคำสั่งอย่างใดๆให้โจทก์ปฏิบัติโดยให้ศาลเซ็นทราบคำสั่งนั้นแล้วจะถือว่าโจทก์ทราบไหม กรณีนี้ต้องดูว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจตามที่รับมอบฉันทะหรือไม่ ถ้าทำนอกอำนาจไม่ถือว่าโจทก์ทราบ
2.2 สั่งลับหลัง คือ แจ้งโดยการออกหมาย เราเรียกว่าหมายแจ้ง แต่ความจริงใช้แบบพิมพ์หมายนัด สั่งให้เจ้าหน้าที่เอาไปส่งภายในเท่านั้นเท่านี้วัน ต้องใช้หลักเกณฑ์ในมาตรา 74 และ มาตรา 79
2.3 กรณีคู่ความมายื่นสิ่งใดเพื่อให้ศาลสั่ง คู่ความมีหน้าที่ต้องมาตาม คำฟ้องหน้าสุดท้ายพิมพ์ว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ถ้าข้าพเจ้าไม่รอให้ถือว่าทราบ ซึ่งศาลจะสั่งรับและสั่งอย่างอื่นไปด้วย เช่นให้โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเจ็ดวัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลง การแจ้งมีข้อจำกัดว่า ถ้าศาลสั่งในวันเดียวกับที่เรารอก็ผูกพันเรา แต่หากศาลสั่งคนละวันกับวันที่ยื่นไม่อาจถือว่าผู้ยื่นได้ทราบ ถ้าศาลสั่งวันอื่นศาลต้องแจ้งให้โจทก์ทราบ ทางแก้สำหรับศาลที่มีคดีมาก ก็จะมีตราประทับโดยมีข้อความว่า ข้าพเจ้าผู้ยื่นจะมาทราบในวันที่ 5 มกราคม ถ้าไม่มาถือว่าทราบ แปลว่าผู้ยื่นต้องมารอถึงห้าวัน แต่ถ้าศาลสั่งหลังวันที่5 ก็ไม่ผูกพันเรา ก็เลยมีตราประทับว่าข้าพเจ้าจะมาติดตามฟังคำสั่งทุกๆเจ็ดวัน หากไม่มาถือว่าข้าพเจ้าทราบ
3.โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งในเวลาที่ศาลกำหนด แต่ถ้าไม่ดำเนินการโดยเหตุสุดวิสัยไม่ใช่การเพิกเฉย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น